วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2551

"คำสั่งถึงลูก"

...
ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยารัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ อดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในรัชกาลที่ 8 ได้ ถึงแก่อนิจกรรม เมื่อ เวลาประมาณ 02.15 น. ของวันที่ 12 พ.ค. ด้วยโรคหัวใจล้มเหลว หลังจากเข้ารับการรักษาอาการที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 10 พ.ค.ที่ผ่านมา สิริอายุได้ 95 ปี 4 เดือน 9 วัน

ท่านผู้หญิงพูนศุข ทางทายาทระบุว่าจะปฏิบัติตาม "คำสั่งถึงลูก" ที่ท่านผู้หญิงพูนศุข ได้เขียนไว้ด้วยลายมือ เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2541 ความว่า "เมื่อแม่สิ้นชีวิต ขอให้ปฏิบัติดังนี้

1. นำส่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ทันที เมื่อหมอตรวจว่าหมดลมหายใจแม่แล้ว

2. ไม่ขอรับเกียรติยศใดๆ ทั้งสิ้น

3. ประกาศทางวิทยุ และลงหนังสือพิมพ์เพื่อแจ้งข่าวให้ญาติมิตรทราบ

4. ไม่มีการสวดอภิธรรม ทั้งนี้ ไม่รบกวนญาติมิตรที่ต้องมาร่วมงาน

5. มีพิธีไว้อาลัยที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ โดยนิมนต์พระที่นับถือแสดงธรรมกถา และทำบัตรสำหรับหนังสือที่ระลึก

6. ไม่รบกวนญาติมิตร ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ หรือเงินช่วยทำบุญ

7. เมื่อโรงพยาบาลคืนศพมาก็ทำการฌาปณกิจอย่างเรียบง่าย

8. ให้นำอัฐิและอังคารไปลอยที่ปากน้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นสถานที่เกิด

9. หากมีเงินบ้าง ก็ขอให้บริจาคเป็นทานแก่มูลนิธิต่างๆ ที่ทำสาธารณกุศล และ

10. ขอให้ลูกทุกคนปฏิบัติตามที่แม่สั่งไว้อย่างเคร่งครัด ไม่ต้องฟังความเห็นผู้หวังดีทั้งหลาย ลูกๆ ที่ปฏิบัติตามคำสั่งจงมีความสุข ความเจริญ"

ลงชื่อ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์
เขียนไว้ขณะมีอายุ 86 ปี 9 เดือน

http://women.thaiza.com/detail_24743.html

สำหรับประวัติท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยารัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ อดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ 8 ปัจจุบันเป็นประธานมูลนิธิปรีดี พนมยงค์ เกิดเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2455 ที่จังหวัดสมุทรปราการ เป็นบุตรของพระยาชัยวิชิตวิศิษฎ์ธรรมธาดา (ขำ ณ ป้อมเพชร์) และคุณหญิงเพ็ง ชัยวิชิต (สกุลเดิม สุวรรณศร) สมรสกับนายปรีดี พนมยงค์ (รัฐบุรุษอาวุโส) เมื่อวันที่ 16 พ.ย.2470 มีบุตรชาย 2 คน ธิดา 4 คน เมื่ออายุ 28 ปี ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “ท่านผู้หญิง”

ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (2484-2488) ขณะที่ญี่ปุ่นรุกรานไทย ท่านผู้หญิงพูนศุขปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเสรีไทย รับฟังวิทยุสัมพันธมิตรและคัดลายมือรหัสวิทยุติดต่อสัมพันธมิตร แต่พอปี 2495 ชีวิตพลิกผันทำให้ต้องเดินทางไปพำนักอยู่ในต่างประเทศกับนายปรีดี กระทั่งนายปรีดีเสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2526 จึงกลับเมืองไทยเป็นการถาวร เมื่อปี 2530 เป็นอันสิ้นสุดระยะเวลา 35 ปี ที่ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอน

http://www.thairath.co.th/offline.php?section=hotnews&content=46850

ระลึกถึง คุณชูเชื้อ (วลี) สิงหเสนี
: อ่านพบในห้องราชดำเนิน
กระทู้ที่ P6686419 ตั้งกระทู้โดยคุณ Salma Bin
ข่าวการถึงแก่อนิจกรรมของท่านผู้หญิง : จากหนังสือสารคดี

ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ระลึกถึง คุณชูเชื้อ (วลี) สิงหเสนีข้าพเจ้า จำได้ว่าพบคุณชูเชื้อ สิงหเสนี ครั้งแรกในห้องพิจารณาคดีที่ศาลอาญา เมื่อ พ.ศ.2491 ในการพิจารณาคดีสวรรคตสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ซึ่งคุณชิต สิงหเสนี เป็นมหาดเล็กห้องพระบรรทม ในหลวงรัชกาลที่ 8คุณชิต สามีคุณชูเชื้อ ตกเป็นผู้ต้องหาปลงพระชนม์ร่วมกับคุณเฉลียว ปทุมรส อดีตราชเลขานุการในพระองค์ฯ และคุณบุศย์ ปัทมศริน หมาดเล็กห้องพระบรรทมข้าพเจ้า นั่งแถวหน้าบัลลังก์พิจารณาคดี สังเกตุเห็นผู้ต้องหาทั้งสามอยู่ในความสงบ สุขุม และไม่ประหวั่นพรั่นพรึง เพราะเชื่อในความบริสุทธิ์ของตน เชื่อในความยุติธรรมของศาลทั้งๆที่อัยการฝ่ายโจทก์ สร้างหลักฐานเท็จ ใส่ร้ายกล่าวโทษการพิจารณาคดีสวรรคต ได้ยืดเยื้อมาอีกหลายปี ในช่วงนั้นข้าพเจ้าเองก็ถูกมรสุมการเมืองรุมกระหน่ำ ถูกจับกุมในคดี"กบฏสันติภาพ" ด้วยข้อกล่าวหา "กบฏภายใน และภายนอกราชอาณาจักร" เมื่ได้รับอิสรภาพหลังจากถูกคุมขังเป็นเวลา 84 วันแล้วข้าพเจ้าก็ได้เดินทางไปต่างประเทศเพื่อร่วมทุกข์ และเป็นกำลังใจให้นายปรีดี พนมยงค์ สามีของข้าพเจ้า ซึ่งลี้ภัยการเมืองในประเทศจีนนายปรีดี กับข้าพเจ้า ติดตามข่าวการพิจารณาคดีสวรรคตอยู่เสมอ นายปรีดีเชื่อในความบริสุทธิ์ของคุณเฉลียว คุณชิต และคุณบุศย์ เช่นเดียวกับเชื่อในความบริสุทธิ์ของตน ที่มิได้มีส่วนพัวพันในคดีสวรรคต ส่งใจช่วย และภาวนาขอให้ผู้บริสุทธิ์ทั้งสาม ได้รับอิสรภาพโดยเร็ววันแต่แล้วเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2497 ศาลฏีกาได้พิพากษาลงโทษให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสามคน ซึ่งต่อมาในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2497 จำเลยทั้งสาม ได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวายฏีกาขอพระราชทานอภัยโทษแต่ฏีกาได้ตกไปในที่สุดนายปรีดี กับข้าพเจ้าตกใจยิ่งกับข่าวการประหารชีวิตของผู้บริสุทธิ์ทั้งสาม ในเช้ามืดวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498นายปรีดี กับข้าพเจ้ารู้สึกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก เห็นใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวเหยื่อความอยุติธรรมทั้งสาม ที่ประสพความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงและขาดเสาหลักของครอบครัวคุณชูเชื้อ สิงหเสนี เป็นภรรยาที่เข้มแข็ง เป็นกำลังใจให้สามี ในขณะถูกจองจำเป็นเวลากว่า 7 ปี เป็นมารดาที่ประเสริฐ แบกรับหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่ในการดูแลลูกๆทั้ง 6 คนหลังจากที่ข้าพเจ้ากลับมาอยู่เมืองไทยเป็นการถาวรแล้ว ทุกวันขึ้นปีใหม่ข้าพเจ้าจะมีกระถางกล้วยไม้ ประดับข้างบันไดขึ้นบ้านซึ่งเป็นของขวัญปีใหม่จากคุณชูเชื้อ นำความชื่นใจมาสู่ข้าพเจ้าและผู้พบเห็น2-3 ปีมานี้ ข้าพเจ้าไม่ได้พบคุณชูเชื้อ ทราบว่าสุขภาพของเธอไม่ค่อยแข็งแรงนักและแล้วคุณชูเชื้อก็ได้ลาจากโลกนี้ไป ตามกฏวัฏสังขาร ยังความเสียใจสู่ลูกหลาน และญาติมิตรขอให้กรรมดีนานาประการจงนำคุณชูเชื้อ สิงหเสนี ไปสู่สุขคติในสัมปรายภพทุกเมื่อเทอญข้าพเจ้า เชื่อกฏแห่งกรรมในพุทธศาสนา บรรดาผู้ที่สร้างหลักฐานเท็จ พยานเท็จ ในกรณีสวรรคต มาบัดนี้ ลูกหลาน ของเขาต้องรับกรรม และชดใช้กรรม รวมทั้งกรรมใหม่ที่ก่อขึ้นเอง ต่างกรรม ต่างวาระ ดังนั้นจึงเป็นที่สังวรแก่ทุกผู้ ทุกคนว่า จงทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ทำความดีผดุงไว้ซึ่งความยุติธรรม และความถูกต้องสัจจะ เป็นอมตะความจริงเป็นสิ่งไม่ตายประวัติศาสตร์ ย่อมให้ความกระจ่างในที่สุด(ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์)9 มกราคม 2549
......................................................................................

http://www.prachatai.com/webboard/wbtopic.php?id=729300

ไม่มีความคิดเห็น: